เอลกัน 3 years 2 months 1 day 19Oct2009
โคลอมโบเมืองหลวงของประเทศศรีลังกา
วนาลี ความหมายว่า ป่า ฉันชอบชื่อนี้ มันเป็นชื่อสำหรับผู้หญิง ฟังดูอ่อนหวาน แต่แฝงด้วยความเข้มแข็ง เวลาที่เรียก วนาลี ชวนให้คิดถึง ป่าที่อุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยดอกไม้นานาชนิดส่งกลิ่นหอมอบอวล ที่สำคัญ วนาลี คล้องกับชือของฉัน Wannaree
โคลอมโบเมืองหลวงของประเทศศรีลังกา
แล้วก็เวียนมาจบโปรเจ็ค ขอบคุณเพือนทุกคนที่ติดตามอ่านงานเขียนของเวปไซค์แห่งนี้ ขอบคุณเพือนหลายคนที่ไม่เคยเจอกันแต่แวะเวียนมาให้กำลังใจเสมอ ขอบคุณเพือนหลายคนทีเปิดโอกาสให้เรียนรู้ เพือพัฒนางานเขียนต่อไป หัวข้อนี้เป็นหัวข้อสุดท้ายที่เพือนๆจะได้อ่านในเวปไซค์นี้ ต่อไปอาจจะได้พบกับเนื้อหาที่เน้นแนวพินิจวิเคราะห์ชีวิตของไทยในต่างแดนมากขึ้น อาจจะมุ่งเน้นในแนวที่ท้าทายมากขึ้น แกร่งด้วยประสบการณ์มากขึ้น อยากให้เพือนๆตามหาอ่านกันในลักษณะตัวหนังสือถือไปได้ หากเพือนคนไหนค้นหาตัวหนังสือนั้นได้ ว่าอยู่ทีไหนในประมาณกลางปี เราจะมีของรางวัลส่งให้ถึงบ้าน หากเพือนคนไหนอ่านแล้วพบว่าเหมือนกับเคยสัมผัส โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน งานนั้นเป็นเพียงแค่ตัวหนังสือ เพราะกรณีศึกษามีมากมายจากทั่วทุกซอกทุกมุมมองบนพื้นโลก
ขอให้ดวงวิญญาณของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เมืองไทยและอีกหลายประเทศในเอเชียจงไปสู่สุขคติภพ และขอให้เพือนที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวสึนามิทุกท่าน จงได้ขวัญกำลังใจกำลังกายกลับคืนมาเพือพร้อมที่จะสู้ต่อไป
We may not be with you, but we want you to know ... our hearthfelt sympathy and best wishes are always with all of you...
สวัสดีค่ะเพือนๆและครอบครัวทุกคนที่ติดตามอ่านเรืองราวต่างๆจากบ้านวนาลีแห่งนี้ หลังจากสิ้นเดือนมกราคมปีหน้า เราจะทำการย้ายบ้านจาก http://homepage.hispeed.ch/Wannaree/ ไปยัง http://www.blogger.com/wannaree
ขอขอบคุณเพือนๆทุกคนที่เข้ามาอ่าน และเพือนที่ฝากข้อความไว้ให้ เราอยากจะรบกวนเพือนๆ หากว่ามีโฮมเพจของตัวเองหรือมีเรืองราวที่น่าสนใจอยากให้เราติดตาม ช่วยเขียนลิงค์หรือที่อยู่โฮมเพจทิ้งไว้ที่คอมเมนท์ฝากข้อความด้วยนะค่ะ
และแล้วเวลาก็เวียนมาถึงสิ้นปีอีกครั้ง เราขออาราธนาอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์ของบ้านที่เพือนๆอยู่จงดลบันดาลให้เพือนๆและครอบครัว จงประสบแต่ความสุข ความสดชื่น ความสมหวัง และขอให้มีแต่สิ่งดีๆย่างเข้ามาในชีวิตของทุกคนตลอดปี 2005
Another year comes to an end.
I would like to wish you a Merry Christmas,
a healthy, happy and prosperous in 2005
With Love,
Wannaree & Julian
ฉันจำหนึ่งวันในฤดูใบไม้ผลิเมือต้นปีนี้ได้ ใบไม้สีเขียวอ่อนพากันผลิใบออกมา สวยเหลือเกิน ระหว่างทางเดินทางบ้านไปที่ทำงาน ฉันเลยเดินเถลไถลเล่นก่อนไปที่ทำงาน เพือให้ดวงตาของฉันซึมซับความงามของฤดูใบไม้ผลิให้เต็มอิ่ม ก่อนที่จะพาสายตาไปจดจ้องแต่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ร้านกาแฟเริ่มพากันออกมาตั้งริมถนน มีอยู่ร้านหนึ่งเปิดเพลง La vie en Rose ของศิลปินผู้ล่วงลับไปนานแล้ว Edit Piaf ฉันรู้สึกว่าวันนั้น ถนนที่ฉันเดินมันเป็นสีชมพู ท้องฟ้าใสกว้างสวย ผู้คนเดินส่งยิ้ม หน้าบาน ไม่บูดบึ้งเหมือนที่เคยเห็นมาตลอด นกพิราบตัวอ้วนบินแทบไม่ไหวพากันร้องเพลงกระโดดตุ๊บๆจิกขนมปังบนทางเท้า ฉันเดินไปพลางคิดขอบคุณพระเจ้าแห่งธรรมชาติที่มอบวันอันสวยงามอีกวันหนึ่งมาให้ฉัน
และก่อนหน้านั้น ศิลปินสาวชาวไอริชชื่อ ไดโด Dido ก็ออกอัลบั้มแสนหวานมาตอนช่วงฤดูหนาว อีกวันที่ฉันต้องเดินผ่านร้านกาแฟร้านโปรด เขาก็เปิดเพลงของไดโด เพลง White Flag ให้ฉันได้ยิน ไม่น่าเชือว่าเพลงจะมีอิทธิพลต่อจิตใจของมนุษย์เราเหลือเกิน ฉันเลยยืนฟังเพลงท่ามกลางละอองหิมะที่ตกลอยละลิ่วจากท้องฟ้าลงมา แปลกที่ฉันไม่รู้สึกหนาว ฉันยืนฟังเพลงจนจบ
ในระหว่างวันที่ 7-21 พฤศจิกายน 2547 ฉันและจูลล์ได้มีโอกาสไปเที่ยวประเทศอียิปต์ การเดินทางของฉันแต่ละครั้ง มันน่าตื่นเต้น และ สนุก รวมทั้งการไปเที่ยวอียิปต์ครั้งนี้ด้วย อาจจะต้องพ่วงคำว่า เหนือย ลงไปอีกสักคำ เพราะเพือนของจูลล์ที่เราไปพักด้วย เอเดรียน โคดล์ เป็นคนช่วยจัดการการเดินทางให้เราทั้งสองคนตั้งแต่วันแรกที่เหยียบแผ่นดินประเทศอียิปต์จนถึงวันสุดท้ายที่เดินทางกลับมาสวิสเซอร์แลนด์
ก่อนที่จะตามฉันไปเที่ยวอียิปต์ ฉันของแนะนำว่า หากจะเดินทางไปเที่ยวเองโดยไม่ไปกับทัวส์ที่เขาจัดให้เราเองทุกอย่าง เราควรจะมีการเตรียมข้าวของให้มากกว่าปกติสักนิดหนึง เอเดรียน ไม่ต้องการให้เรามาเที่ยวอียิปต์แบบนักท่องเที่ยวทั่วไป เขาต้องการให้เราเห็นและเรียนรู้วิถีชีวิตของชาวอียิปต์ไปในขณะเดียวกัน เราเลยโชคดีที่ได้ทำทุกอย่างและเที่ยวหลายๆที่ ภายในเวลา 14 วัน ประเทศอียิปต์ เป็นประเทศของชาวมุสลิมที่เคร่งครัดในศาสนา แต่เปิดรับวัฒนธรรมยุโรปมากกว่าประเทศมุสลิมในโซนนั้น ผู้ชายอิยิปต์ยังคงได้รับความนับถือมากกว่าผู้หญิง หากเราเป็นผู้หญิงเอเชียเดินทางคนเดียวขอแนะนำให้ไปกับกลุ่มทัวส์ หากเดินทางกับเพือนผู้ชาย ให้เพือนชายเราเป็นคนพูดคุยต่อรองราคาหรือจ่ายเงินของกับชาวอียิปต์ ควรแต่งตัวแบบมิดชิด อย่างน้อยๆก็แสดงถึงความเคารพแสดงที่และประเทศของผู้อื่น ควรอ่านหนังสือแนะนำสิ่งที่ควรทำหรือไม่ควรทำก่อนเดินทางไปเที่ยวประเทศมุสลิม และอียิปต์
07.11.2004 วันแรกเราออกเดินทางจาก ซังค์กาแลนด์โดยรถไฟไปที่สนามบินซูริค เครืองออกสักบ่ายกว่าๆ ลงที่สนามบินกรุงไคโรประมาณ 5 โมงเย็น ภูมิภาพของอิยิปต์เป็นทะเลทรายส่วนใหญ่ ฉันคิดว่าพื้นที่ลุ่มน้ำคงมีประมาณแค่ 10เปอร์เซ็นต์ และกรุงไคโรคือที่ลุ่มน้ำที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ เอเดรียนส่งคนขับรถมารับถึงห้องผู้โดยสาร ตอนเย็นเอเดรียนก็สั่งอาหารไทยส่งถึงบ้านมาเลี้ยงต้อนรับพร้อมกับเชิญเพือนบ้านชาวอเมริกาใต้มานั่งกินด้วย คุยกันนิดหน่อยถึงตารางการเดินทางของเรา
08.11.2004 รถตู้มารับเพือเดินทางไปทะเลที่อ่าว Basata แหลมไซนาย Sinai เป็นชายฝั่งทีมองเห็นประเทศซาอุดิอาระเบีย เมือหลายสิบปีก่อน ตรงแหลมนี้ เคยโดนประเทศอิสราเอลเข้ามายึดอำนาจอยูนาน แต่ตอนนี้ทางอิยิปต์ได้ต่อสู้เอากลับมาคืนเป็นของตัวเอง ระหว่างทางไปจะมีด่านตรวจอยู่เป็นระยะๆ ก่อนหน้าที่เราจะมาเพียง 1 อาทิตย์ก็มีการบอมส์โรงแรมกันเกิดขึ้น เราได้สอบถามแล้ว เป็นการบอมส์ของชาวอียิปต์ ที่เกลียดชังเจ้าของโรงแรมที่เป็นชาวอิสลาเอล เราจึงวางใจในการเดินทางขึ้นหน่อย
รถตู้พร้อมคนขับชือนาย โมฮัมมัด (ชือนี้คนใช้เกือบครึ่งประเทศ และฉันนึกมาได้ว่าคนขับรถทั้งหมดและไกด์ทัวส์ของเราชือโมฮัมมัดหมดเลย) พาไปผ่านคลองสุเอซ อันโด่งดังของโลก คลองเศรษฐกิจที่หลายชาติทั้งอาหรับและยุโรปอยากได้ครอบครอง ผ่านทะเลทราย ภูเขาอันแห้งแล้ง ไม่มีต้นไม้ขึ้นสักนิด ผ่านบ้านเรือนที่ไม่ได้มีการดูแลซ่อมแซม เราตะหนักตอนนั้นว่า อิยิปต์ยังยากจนมาก เป็นประเทศที่มีช่องว่างคนจนและคนรวยสูง ทุกด่านตรวจจะถามว่าเรามาจากประเทศอะไร พอฉันบอกว่ามาจากประเทศไทย ทหารจะงง เพราะเขารู้จักแต่ จีนกับญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่ ฉันถามเพือนที่หลังว่าทำไมเขาตรวจ เพือนบอกว่า เผือเราหายตัวไปจะได้ติดต่อสถานทูติถูก น้าน ฟังแล้วขนหัวลุกสิ ปล่าวหรอก แค่เป็นหน้าที่เผือมีคนแปลกปลอมมาเขาจะได้ตามทัน
รถได้พาเรามาถึงอ่าวบาซาตา ทางฝั่งตะวันตกของแหลมไซนาย สักบ่ายค่ำๆ ผู้จัดการสาวชาวอิยิปต์มีดวงตาสีเขียวได้มาแนะนำกับเราว่า ที่อ่าวนี้คนที่มาพักส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติที่ทำงานในประเทศอิยิปต์ ทุกคนต้องการที่จะพักแบบเงียบๆแตกต่างจากนักท่องเที่ยวยุโรปอเมริกันหรือชาติอื่นๆที่มาเพือเที่ยวประเทศอิยิปต์ ที่นี้จะห้ามใช้มือถือในห้องรวม ไม่ให้เดินเปลือยกายที่ชายหาด ไม่ให้ทิ้งก้นบุหรี่ ไม่ให้ดำน้ำลึก ความปลอดภัยเรืองขโมยสูง ให้บริการตัวเองเรืองอาหารและเซ็นต์ชือเอง จะคิดเงินเมือเช็คเอาท์ การพักที่นี้เป็น ธุรกิจทางใจ เจ้าของเปิดที่พักเพราะไม่อยากเปลี่ยนแปลงให้มากเหมือนที่ ชามเอเซ็ก อันโด่งดัง
น้ำทะเลที่นี้สวยสมชื่อ และที่เราฝันถึง ปะการัง ปลาสีสวยเยอะมาก โดยไม่ต้องว่ายน้ำออกไปไกล เดินไปเพียงสักร้อยเมตร และว่ายน้ำกับหน้ากาก ก็มองเห็นโลกใต้น้ำแสนสวย
11.11.2004 เราได้กลับมากรุงไคโรในตอนสายๆ วันนี้ทหารมีการตรวจเข้มงวดขึ้นอีก เพราะว่าเสียชีวิตของนายยัสเซอร์ อาราฟัต ที่จะต้องถูกส่งร่างอันไร้วิญญานกลับมายังกรุงไคโรในวันเดียวที่ฉันต้องเดินทาง และทางแหลมไซนายก็ยังเป็นจุดล่อแหลมทางการเมืองอยู่ ฉันได้ยกกล้องถ่ายรูปขึ้นถ่ายรูปป้ายข้างทาง ตอนที่ทหารกำลังตรวจหนังสือเดินทาง ตกลงเลยเป็นเรืองขึ้นมาอีก นอกจากการเป็นคนไทยเดินทางทางรถยนต์แล้วยังเดินทางในวันอันเปราะบางของโลก ฉันเลยต้องโดนตรวจกล้องถ่ายรูปอีกรอบ แต่ท้ายที่สุดทุกอย่างก็ผ่านมาด้วยดี ด้วยกล้องดิจิตอลอันทันสมัย ทำให้ฉันเปิดรูปที่ถ่ายให้ทหารอิยิปต์ดูว่า ไม่ได้มีเจตนาร้าย
12.11.2004 เราได้ไปเที่ยวปิรามิดกิซ่าอันโด่งดังของโลก เอเดรียนไปกับเราและช่วยเราจัดทริปได้อย่างน่าประทับใจ ตอนเช้ารถชมปิรามิดที่สร้างที่แรกของโลกด้วยม้า ฉันได้ม้าสีขาวตัวโต สวย จูลล์และเอเดรียนได้ม้าสีน้ำตาลอ่อนและเข้ม มีคนนำทางเป็นเจ้าของคอกม้าพาเราไป ตอนแรกก็มีคนจูงให้เราคุ้นเคยกับหลังม้าสัก 10 นาที แล้วหลังจากนั้นเราก็ต้องบังคับม้าไปกันเองอีกหลายชั่วโมง ฉันบอกได้คำเดียวว่าเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด
พอตอนบ่ายเราก็ไปนั่งพักจิบน้ำกระเจี๊ยบสีแดงสวยที่โรงแรมแห่งหนึ่ง มองเห็นวิวปิรามิดจากห้องอาหาร จูลล์ได้รับโทรศัพท์จากที่ทำงานที่สวิส เพือนร่วมงานโทรมาสอบถามงาน ทำเอาวันนั้นหงอยไปนิดเพราะเราควรจะพักผ่อน แต่กลับต้องโดนตามเรืองงาน เรานั่งพอหายเหนือยเอเดรียนก็พาไปขี่อูฐตัวโตชมปิรามิด 3หลัง นั่งอูฐ น่ากลัว เพราะอูฐตัวสูงมาก แถมเขาเอาเชือกร้อยอูฐเราไว้ด้วยกันโดยให้จูลล์เป็นคนบังคับอยู่ข้างหน้า อูฐเจ้ากรรมของฉันอยู่หลังสุด เธอไม่ชอบอูฐเอเดรียนก็พาลไปกัดขาอูฐเอเดรียน ทีนี้อูฐก็พากันกระโดดเล็กๆ ฉันกับเอเดรียนต้องจับไม้บนอูฐแน่นเลย น่ากลัวตกมากๆ ถ้าตกลงมาต้องโดนเจ้าอูฐตัวดื้อเหยียบซ้ำแน่เลย ตอนหลังคนนำทางก็มาจับแยกอูฐฉันออก
draft
13.11.2004 เรา 3 คนได้ออกเดินทางไปเที่ยวทะเลทราย และ โอเอซิส ที่ White Desert
14.11.2004 ซาฟารีทะเลทราย และ แซนด์ดูน นอนแคมป์ปิ้ง
15.11.2004 กลับมาทีบาฮารียา
16.11.2004 กลับมาที่กรุงไคโร เที่ยวชมพิพิธภัณท์กรุงไคโร ตกเย็นเดินทางด้วยรถไฟตู้นอนเพือไปเมืองลุคซอร์ต่อ
17.11.2004 เช็คอินเข้าพักที่โรงแรมเลอเมอรีเดียน ลุคซอร์ ต่อด้วยการเช่าจักรยานปั่นไปยังหุบเขาที่ฝังศพฟาโรต์อันโด่งดังของโลก ตกเย็นมาว่ายน้ำ แล้วไปดูการโชว์แสงเสียงบอกเล่าเรืองราวของการสร้างวังของฟาโรต์
18.11.2004 เที่ยวด้วยรถม้าชมเมืองลุคซอร์ และไปชมวังคานัก วังลุคซอร์ ล่องเรือใบในแม่น้ำไนล์รอดูพระอาทิตย์ตกน้ำ หลังจากนั้นก็ไปตามชมพิพิธภัณท์ลุคซอร์ การทำมัมมี่ นั่งรถไฟกลับกรุงไคโรตอนกลางคืน
19.11.2004 กลับมาถึงกรุงไคโรตอนเช้า ออกช๊อปปิ้ง
20.11.2004 กลับมาสวิสเซอร์แลนด์
ตามปกติแล้วจูลล์และฉันจะไม่ค่อยได้มีโอกาสถ่ายรูปคู่ แต่ไปเที่ยวอิยิปต์ครั้งนี้โชคดีที่เอเดรียนคอยจับภาพของเราสองคนให้ตลอด
ขอปิดท้ายด้วยภาพนี้
เมือหน้าร้อนที่ผ่านมา ปีนี้ 2004 ฉันได้มีโอกาสไปเก็บเชอรี่จากสวน ฉันชอบกินเชอรี่แบบที่หลายๆคนรักที่จะกินเชอรี่ ทุกปีฉันจะต้องซื้อเชอรี่กินหลายกิโล การซื้อเชอรี่กินตามร้านค้าในสวิสยังมีราคาแพงมากๆ กิโลหนึ่งตกเป็นสิบฟรังค์ มาปีนี้ฉันโชคดีทีได้ค้นพบสวนของแฮร์มาน ที่อนุญาตให้ฉันได้ไปทำงาน
ฉันได้เห็นต้นเชอรี่ที่ปลูกเรียงราย ออกลูกแดงบ้างดำบ้างเต็มไปหมด ฉันสามารถที่จะหยิบกินจากต้นเท่าไหร่ก็ได้ แถมด้วยการหอบหิ้วกลับมาที่บ้านอีกหลายกิโล ฉันเอามาฝากเพือนบ้าน ฉันเก็บเชอรี่พร้อมกับความรู้ที่ได้จากริต้าและแฮรมาร์ สองคนสามี-ภรรยาที่ใจดีมากๆ
ฉันกับแฮร์มานจะเก็บเชอรี่ไปให้ริต้าคัดเอาลูกที่ได้คุณภาพเพื่อส่งขายตามทีคนสั่ง การเก็บเชอรีก็ต้องใช้บันไดที่สูงมากๆปีนขึ้นไป ฉันไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้ปีนอะไรที่สูงแบบนี้มาก่อนในชีวิต ปีนครั้งแรกก็กลัวและตื่นเต้น พอปีนครั้งต่อมาก็กลายเป็นสนุก จนไม่อยากเลิก จนเลยมาถึงคิดได้ว่า จูลล์ควรจะได้มาปีนแบบฉันบ้าง เธอคงจะเหนือยและเบื่อกับการปีนขึ้นลงของเมาท์และนิ้วชี้บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ไฉนเลย ต้องลากมาลองปีนเก็บเชอรี่ด้วยกัน เธอปีนจนไม่อยากกลับบ้าน มีการบอกว่าอยากลาออกจากงานมาเป็นคนเก็บเชอรี่ บอกว่าอิจฉาฉันที่ได้ทำงานมีความสุข
ผู้คนเดินผ่านไปมาสวนเชอรี่นั้นต่างก็มองเรามาแบบสนุกสนาน เพราะฉันเป็นผู้หญิง แถมด้วยหน้าเอเชีย แบบไท้ยไทย มาปีนบันได้เก็บลูกเชอรี่ทั้งวัน เด็กๆ ก็แวะเวียนกันมายืนดูฉันพร้อมกับยิ้มอายๆ เมือตอนฉันโยนลูกเชอรี่ใส่หัว
คาร์ล เวเร่ หัวหน้าจูลล์และเป็นลูกพี่ลูกน้องของแฮรมาน เวเร่ก็แวะมาดูจูลล์เก็บเชอรี่ด้วย ไม่แปลกได้ยังไง ก็ทั้งอังกฤษและไทยมาปีนบันไดเก็บเชอรีที่สวิสเซอร์แลนด์ แสดงให้เห็นถึงการผสมผสานทางวัฒนธรรมของชาวโลกในทางที่ดีไม่ใช่เหรอ
ท้ายสุดฉันได้ เหล้าเชอรี่สีใสกับเชอรี่มาเป็นค่าแรง อร่อย สนุก และมีความสุขที่สุดที่ได้มาเก็บเชอรี่ที่สวน
จูลล์เก็บเชอรี่ใส่ตะกร้า
ฉันอยู่ใต้ต้นเชอรี่
ค่าแรงงานของฉันและจูลล์ เป็นเงินและเหล้าเชอรี่ที่กินแล้วเมาแน่นอน อีกอันเป็นผลิตภัณฑ์เหล้ารัมแอนด์เชอรี่จากฝีมือฉัน
เชอรี่บนกิ่งที่ยังไม่ถูกเก็บ สวยจนไม่น่าเก็บ
เชอรี่ในถังรอวันกลายเป็นเหล้าเชอรี่ หรือ Kirsch